กรดไหลย้อนขึ้นคอ อาการเป็นอย่างไร และวิธีการดูแลรักษา 

อาการกรดไหลย้อนขึ้นคอ หรือ Laryngopharyngeal Reflux : LPR มีผู้ป่วยจำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ ในช่วงต้นปีที่ผ่านมา เนื่องจากในปี 2023 เป็นช่วงเวลาของการเร่งรีบในการทำงาน การเรียนรู้ หรือการทำกิจกรรมต่าง ๆ ผู้ป่วยจึงไม่ใส่ใจกับพฤติกรรมการกินมากเท่าที่ควรจะเป็น นำมาซึ่งความผิดปกติของทางเดินอาหาร ส่งผลให้มีอาการของ กรดไหลย้อนขึ้นคอ ซึ่งไม่ส่งผลดีต่อการใช้ชีวิตหลังการรับประทานอาหารเท่าไรนัก และอาจนำไปสู่การเกิดโรคมะเร็งได้ในภายหลัง

กรดไหลย้อนขึ้นคอ มีอาการอย่างไร

ปัญหากรดไหลย้อนขึ้นคอ เป็นอีกภัยเงียบที่จะเริ่มแสดงอาการออกมา เมื่อมีพฤติกรรมการกินที่ไม่ดีอย่างเป็นประจำต่อเนื่อง มาลองสังเกตอาการกรดไหลย้อนขึ้นคอ มีอาการเป็นอย่างไร

• รู้สึกแสบร้อนกลางคอ แสบบริเวณหน้าอกและลิ้นปี่
• มีอาการเจ็บคอ แสบปาก แสบบริเวณลิ้น
• มีอาการระคายเคือง และรู้สึกเหมือนมีก้อนบางอย่างอยู่บริเวณลำคอ
• กลืนอาหารลำบาก
• เสียงแหบ
• มีเสมหะ และเกิดการระคายเคืองตลอดเวลา
• มีอาการไอเรื้อรัง
• เกิดการอักเสบบริเวณลำคอ และกล่องเสียง
• รู้สึกเหมือนในปากมีรสขม และรสเปรี้ยวของกรดอยู่ตลอด
• มีอาการคลื่นไส้และเรอบ่อย
• จุกแน่นกลางอกและลำคอ เนื่องจากกรดไหลย้อนขึ้นมา

กรดไหลย้อนขึ้นคอ อันตรายหรือไม่

กรดไหลย้อนขึ้นคอ เป็นปัญหาสุขภาพที่เกิดขึ้นได้ง่าย และไม่ทราบวิธีป้องกันอย่างแน่ชัด โดยกรดไหลย้อนขึ้นคอ เกิดจากการทำงานของหูรูดในหลอดอาหารที่เชื่อมติดกับกระเพาะทำงานไม่ปกติ ทำให้กรดในกระเพาอาหารไหลย้อนกลับขึ้นมาที่ลำคอ จึงทำให้ผู้ป่วยมีอาการแสบคอ และรู้สึกถึงรสขม บริเวณปลายลิ้น  หากปล่อยไว้ไม่รักษาหรือรับประทานยาลดกรด อาจนำไปสู่การเกิดโรคมะเร็ง เช่น มะเร็งหลอดอาหาร มะเร็งกล่องเสียง เป็นต้น ซึ่งค่อนข้างรุนแรงและอันตรายในระยะยาว  

วิธีการดูแลรักษา บรรเทาอาการ กรดไหลย้อนขึ้นคอ

วิธีการบรรเทาอาการ เมื่อเกิดภาวะกรดไหลย้อนขึ้นคอ สามารถดูแลเบื้องต้นได้ หากไม่มีความรุนแรง แต่หากมีอาการบ่อยครั้ง ควรรีบพบแพทย์ เพื่อไม่ให้เกิดอันตรายต่อระบบอวัยวะต่าง ๆ ในภายหลัง  วิธีการบรรเทากรดไหลย้อนขึ้นคอ สามารถทำได้ดังนี้

1.รับประทานยาลดกรด

อาการแสบคอและจุกแน่นที่เกิดขึ้นบริเวณลำคอ เกิดจากกรดในกระเพาะอาหาร การทานยาลดกรดจะช่วยไปยับยั้งการสร้างกรดในกระเพาะอาหาร ตัวอย่างเช่น ยาในกลุ่ม Proton Pump หรือ กลุ่มยา Prokinetic Agents

2.นอนยกศีรษะให้สูงขึ้น

การนอนในระดับที่สูงขึ้น จะช่วยไม่ให้กรดไหลย้อนขึ้นคอได้ เนื่องจากช่วงลำคอและศรีษะถูกยกให้สูงขึ้น ซึ่งควรอยู่ในระดับ 4 – 6 นิ้ว การนอนในลักษณะนี้จะช่วยให้ไม่เกิดการจุกแน่นคอในตอนกลางคืนได้

3.ผ่าตัดแบบส่องกล้อง

ทั้งนี้การรักษาด้วยวิธีผ่าตัด ต้องได้รับการพิจารณาจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น โดยผู้ป่วยส่วนใหญ่ มักมีอาการรุนแรง ไม่สามารถใช้ยาในการรักษาได้ เป็นผู้ป่วยที่มีอาการซ้ำ ๆ หลังหยุดยา การผ่าตัดจะทำการเย็บหูรูดใหม่ เพื่อให้เปิดและปิดได้ตามปกติ

การป้องกันภาวะกรดไหลย้อนขึ้นคอ

การเกิดกรดไหลย้อน มีสาเหตุหลักมาจากพฤติกรรมการกินที่ไม่ถูกต้องมาเรื่อย ๆ จนทำให้การทำงานของระบบทางเดินอาหารไม่ปกติ การทานและการผ่าตัด เป็นวิธีการรักษาที่ได้ผลดี เนื่องจากเป็นการดูแลที่ตรงจุด แต่หลังจากนั้น หากไม่ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกิน ก็สามารถกลับมามีอาการได้อีกครั้ง วิธีป้องกันการเกิดภาวะกรดไหลย้อนขึ้นคอ สามารถทำตามได้ดังนี้

1.หลีกเลี่ยงน้ำอัดลม

เนื่องจากน้ำอัดลม ทำให้เกิดแก็สในกระเพาะอาหาร และมีอาการเรอบ่อย ๆ ทำให้กระตุ้นการไหลย้อนของกรดในหลอดอาหารขึ้น นอกจากนั้น ยังทำให้เสี่ยงต่อการเป็นโรคกระเพาะอาหารอักเสบ โรคเบาหวานอีกด้วย

2.งดเครื่องดื่มชา กาแฟ

ควรงดดื่มชา กาแฟหรือเครื่องดื่ม ที่มีส่วนผสมของคาเฟอีนทุกชนิด เพราะเครื่องดื่มเหล่านี้ ไปกระตุ้นให้กรดในกระเพาะไหลย้อนขึ้นมา

3.งดสูบบุหรี่และเครื่องดื่มแอลกอฮอล

เนื่องจากการดื่มสุรา ไวน์ หรือเบียร์ จะไปกระตุ้นการหลั่งของกรดในกระเพาะอาหาร ในปริมาณที่มากขึ้นกว่าเดิม เป็นผลให้กรดจากกระเพาะอาหารสามารถไหลย้อนขึ้นมาได้ ร่วมถึงทำให้มีอาการจุกเสียด

4.งดรับประทานของมันและของทอด

อาหารฟาสฟู๊ด ไก่ทอด หมูทอด โดนัท และอาหารที่ใช้น้ำมันในการทำให้สุก ควรหลีกเลี่ยง เพราะอาหารเหล่านี้จะไปกระตุ้นกรดให้ไหลย้อนกลับขึ้นมาที่ลำคอ ผู้ป่วยจะมีอาการแน่นท้อง จุกเสียดอีกด้วย

5.กำหนดเวลาทานอาหาร

เพื่อให้น้ำย่อยในกระเพาะอาหารทำงานได้ดี ควรกำหนดเวลาทานอาหารที่แน่ชัด และไม่ควรนอนราบกับพื้น หรือออกกำลังกายทันทีหลังทานอาหารเสร็จ ควรทานอาหารก่อนนอน 3 ชั่วโมงเป็นอย่างต่ำ

6.สวมเสื้อผ้าที่สบาย

ไม่ควรสวมใส่เสื้อผ้าที่รัดแน่นจนเกินไป โดยเฉพาะบริเวณช่วงเอว เนื่องจากอาจเกิดการบีบตัว ทำให้กรดไหลย้อนกลับมากขึ้น

ภัยเงียบที่ไม่ควรปล่อยไว้ หากผู้ป่วยที่เพิ่งเริ่มมีอาการกรดไหลย้อนขึ้นคอ รู้สึกแสบคอ แสบลิ้น หรือร้อนกลางอก ไม่ควรหายาทานเอง ควรพบแพทย์เพื่อประเมินอาการและรับการรักษาต่อไป อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยสามารถป้องกันตนเองได้ ด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการทานอาหารทีละนิด รวมถึงหลีกเลี่ยง กลุ่มอาการที่กระตุ้นการหลั่งของกรดในกระเพาะอาหาร

เรื่องอื่นๆที่เราแนะนำสำหรับคุณ

• แม่ท้องควรบริโภคไอโอดีนเพื่อช่วยพัฒนาสมองลูกในครรภ์
• 3 สิ่งสำคัญที่มีผลต่อสมองลูกน้อย
• พัฒนาการสมองของลูกยามหลับ (วัยแรกเกิด – 6 เดือน)