fbpx
Homeการตั้งครรภ์คนท้องเป็นริดสีดวง เกิดจากอะไร อาการและวิธีการดูแลรักษา

คนท้องเป็นริดสีดวง เกิดจากอะไร อาการและวิธีการดูแลรักษา

เมื่อคุณแม่ตั้งครรภ์ มักมีอาการของร่างกายที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม จากปกติที่สามารถเดินเหินหรือทำกิจกรรมต่าง ๆ ได้ด้วยตนเอง แต่เมื่อตั้งครรภ์ความคล่องตัวตรงส่วนนี้ก็มักจะลดลงหรือหายไป การทำกิจกรรมต่าง ๆ ต้องอาศัยความระมัดระวังมากขึ้น หรือต้องมีคุณพ่อและญาติคอยดูแลอย่างใกล้ชิด นอกจากการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวแล้ว ก็มีอีกการเปลี่ยนแปลงที่คุณแม่ตั้งครรภ์ทั้งหลายมักจะประสบพบเจอ แต่ไม่กล้าที่จะบอกหรือปรึกษาใคร นั่นก็คือโรคริดสีดวง ซึ่งก็เป็นโรคหนึ่งที่เมื่อเอ่ยถึงจะเกิดความเขินอาย ทำให้ไม่กล้าแม้แต่จะบอกคุณพ่อหรือคุณหมอที่ทำการฝากครรภ์ โดยการที่ คนท้องเป็นริดสีดวง นับเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้และค่อนข้างปกติ ดังนั้นเราจะพาไปดูกันว่าโรคนี้เกิดจากอะไร และมีวิธีรักษาอย่างไรบ้าง

คนท้องเป็นริดสีดวง เกิดจากอะไร

คนท้องเป็นริดสีดวงมักเกิดจากการเปลี่ยนแปลงของร่างกายคุณแม่เองไม่ว่าจะเป็น

  • การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนที่ส่งไปยังส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย ซึ่งฮอร์โมนบางฮอร์โมนทำให้เกิดการขยายตัวของหลอดเลือด โดยเฉพาะหลอดเลือดที่ทวารหนัก ทำให้เกิดเป็นโรคริดสีดวงขึ้นได้
  • การเปลี่ยนแปลงของเส้นเลือดต่าง ๆ ในร่างกายของคุณแม่ตั้งครรภ์เพื่อให้สามารถนำพาทั้งสารอาหารไปเลี้ยงตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกายทั้งตัวคุณแม่เองและลูกน้อยในครรภ์ รวมถึงการนำพาของเสียออกจากเลือดเพื่อไปขจัดออก การขยายตัวของเส้นเลือดนี้เองก็ทำให้เส้นเลือดบริเวณทวารหนักเกิดการขยายตัวตามไปด้วย จึงทำให้เกิดการบวมพองแล้วเกิดเป็นโรคริดสีดวงได้
  • การเปลี่ยนแปลงของกิจวัตรของคุณแม่ จากเดิมคุณแม่บางท่านก็จะมีกิจวัตรการขับถ่ายที่ง่ายและเกิดขึ้นทุกวัน แต่เมื่อตั้งครรภ์ก็มักจะขับถ่ายไม่เป็นเวลา รวมถึงขับถ่ายน้อยกว่าปกติ ในส่วนของคุณแม่ที่ถ่ายยากอยู่แล้วก่อนตั้งครรภ์ก็ยิ่งถ่ายยากเข้าไปอีก ส่วนนี้นี่เองที่ทำให้คนท้องเป็นริดสีดวงได้ เพราะเมื่อท้องผูกแล้วคุณแม่ตั้งครรภ์ทั้งหลายก็จะเบ่ง ทำให้เส้นเลือดบริเวณทวารหนักโป่งพอง จนบางครั้งก็เกิดเลือดออกที่ทวารหนักตามมาได้

อาการริดสีดวงเป็นอย่างไร

อาการริดสีดวงนี้ไม่ว่าจะเป็นคุณแม่ตั้งครรภ์หรือบุคคลทั่วไปก็มีอาการเหมือนกัน ซึ่งก็คือการเกิดการโป่งพองของเส้นเลือดบริเวณทวารหนัก ยิ่งช่วงที่ถ่ายอุจจาระแล้วมีการเบ่งก็จะเกิดการโป่งพองค่อนข้างมาก หากเป็นไม่มาก เมื่อถ่ายอุจจาระเสร็จ ก้อนที่โป่งพองเหล่านี้ก็จะจะยุบเข้าไป แต่หากปล่อยทิ้งไว้เป็นเวลานานหรือมีอาการหนักก้อนที่โป่งพองเหล่านี้ก็จะคงอยู่ถาวรไม่หดกลับเข้าไป นอกจากนี้ในบางรายก็จะมีเลือดปะปนออกมาเมื่ออุจจาระกันด้วย ส่วนนี้คนท้องเป็นริดสีดวงจะค่อนข้างเป็นอันตรายมากกว่าคนทั่วไป เพราะเมื่อเกิดการเสียเลือดที่มากจะทำให้เกิดอันตรายทั้งต่อตัวคุณแม่ที่ตั้งครรภ์และลูกน้อยในครรภ์ได้

วิธีการรักษาริดสีดวงในคนท้อง

การรักษาริดสีดวงสำหรับคนท้องควรปรึกษาคุณหมอที่คุณแม่ฝากครรภ์เพื่อรับคำแนะนำที่เหมาะสม โดยส่วนใหญ่แล้วคุณหมอก็จะมีข้อแนะนำตามนี้

  • การเหน็บยา หรือ การทายาบริเวณทวารหนักที่จะช่วยลดการบวมของเส้นเลือดบริเวณทวารหนักได้ ทั้งนี้คุณแม่ตั้งครรภ์ไม่ควรซื้อยามาทาหรือเหน็บเอง ขั้นตอนนี้ควรเกิดขึ้นหลังจากที่ปรึกษากับคุณหมอแล้ว
  • การประคบเย็นบริเวณทวารหนักที่จะช่วยให้เกิดการหดตัวของเส้นเลือดบริเวณทวารหนัก แล้วทำให้ริดสีดวงที่เป็นอยู่นั้นเล็กลงและหายไปในที่สุดได้
  • การแช่น้ำอุ่น ส่วนนี้เป็นการช่วยบรรเทาและรักษาการอักเสบและการเจ็บปวดที่เกิดริดสีดวงบริเวณทวารหนักได้

ป้องกันริดสีดวงขณะตั้งครรภ์

แม้ว่าคนท้องเป็นริดสีดวงจะพบได้ค่อนข้างบ่อย อย่างไรก็ดี เราก็มีเคล็ดลับป้องกันริดสีดวงขณะตั้งครรภ์กัน

  1. รับประทานผลไม้และผักที่มีกากใย ในส่วนนี้จะช่วยในการขับถ่ายของคุณแม่ให้เป็นปกติ ทำให้คุณแม่ไม่ต้องออกแรงเบ่งมากนัก จึงช่วยลดความเสี่ยงคนท้องเป็นริดสีดวงได้
  2. ปรับอิริยาบทระหว่างวันทั้งการนั่งและการนอน ในส่วนของการนั่งควรมีการพาดเหยียดยืดขาเป็นช่วง ๆ ช่วงละ 20 นาที ในส่วนการนอนควรนอนตะแคงบ้าง ทั้งนี้ก็เพื่อช่วยลดแรงดันที่เกิดขึ้นในช่องท้องจึงป้องกันการเกิดริดสีดวงได้
  3. ปรับลักษณะนิสัยการเข้าห้องน้ำโดยเฉพาะการถ่ายอุจจาระ คือ ทุกครั้งที่เกิดการปวดแม้เพียงเล็กน้อยให้เข้าห้องน้ำถ่ายอุจจาระทันทีเพื่อไม่ให้เกิดการเบ่งจนเกิดการโป่งพองของเส้นเลือดบริเวณทวารหนัก รวมถึงฝึกอุจจาระให้เป็นเวลา
  4. ออกกำลังกายสม่ำเสมอ แต่ต้องเป็นการออกกำลังกายที่เหมาะสมกับคนท้องเพื่อให้อวัยวะภายในเกิดการเคลื่อนตัวอย่างเหมาะสม ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับริดสีดวงก็คือการเคลื่อนตัวของลำไส้นั่นเอง

คนท้องเป็นริดสีดวงเป็นเรื่องที่นับว่าสามารถก่อให้เกิดอันตรายทั้งต่อคุณแม่และลูกน้อยได้ ดังนั้นเมื่อคุณแม่เป็นริดสีดวงหรือเกิดอาการขึ้นควรรีบปรึกษาหรือเล่าให้คุณหมอที่ฝากครรภ์ฟังทันทีเพื่อจะได้รับการรักษาที่ถูกต้อง ในส่วนนี้จะช่วยให้คุณแม่หายจากอาการดังกล่าวได้ในเวลาอันรวดเร็ว

เรื่องอื่นๆ ที่เราแนะนำสำหรับคุณ

RELATED ARTICLES
- Advertisment -

Most Popular