การทดสอบการตั้งครรภ์
การทดสอบการตั้งครรภ์ เป็นการช่วยยืนยันว่าคุณแม่ที่มีอาการผิดปกติทางร่างกายเหมือนกับอาการคนท้อง เช่น มีอาการประจำเดือนขาด หน้ามืด วิงวียน อาเจียนบ่อย เบื่ออาหาร เต้านมคัดตึง ปัสสาวะบ่อยนั้นกำลังตั้งครรภ์อยู่แน่นอนหรือไม่
การทดสอบการตั้งครรภ์ทำได้ 2 วิธีดังนี้
1. การทดสอบการตั้งครรภ์ด้วยการตรวจปัสสาวะ
การตรวจการตั้งครรภ์ด้วยวิธีนี้ จะใช้ชุดทดสอบการตั้งครรภ์เป็นตัวช่วย ซึ่งอาจมีลักษณะเป็นแผ่นกระดาษ หรือเป็นแท่งดิจิตอลก็ได้ สามารถทดสอบและอ่านผลได้ด้วยตัวเอง วิธีการคือ ให้คุณแม่นำปัสสาวะใส่ลงในภาชนะรองรับ แล้วจุ่มปลายด้านที่จะทำการทดสอบลงไป ชุดทดสอบบางรุ่นก็อาจให้วิธีการ ปัสสาวะรดปลายด้านที่จะทดสอบเลยก็ได้ค่ะ จากนั้นทิ้งไว้สักครู่ หากปรากฏขีดสีแดง 2 ขีด ผลเป็นบวก แสดงว่าคุณแม่ตั้งครรภ์แน่นอนค่ะ
การตรวจการตั้งครรภ์แบบนี้จะให้ผลแม่นยำ หากคุณแม่ใช้ปัสสาวะที่เพิ่งตื่นขึ้นมาในเช้าตรู่ ซึ่งจะมีระดับฮอร์โมน HCG ค่อนข้างสูง ผลการทดสอบจะชัดเจนมาก แต่ก็มีข้อจำกัด เช่นกัน
ข้อจำกัดของการทดสอบการตั้งครรภ์ด้วยปัสสาวะนี้คือ
- การตรวจสอบการตั้งครรภ์ด้วยปัสสาวะ จะได้ผลดีหากได้ทดสอบหลังจากที่มีการปฏิสนธิไปแล้วประมาณ 14-21 วัน
- หากคุณแม่มีบุตรยากและใช้ยาบางตัวที่มีผลทำให้ฮอร์โมน HCG ถูกสร้างขึ้นมามาก หรือใช้ยาที่มีฮอร์โมน HCG เป็นส่วนผสมในปริมาณมาก การตรวจปัสสาวะก็จะให้ผลเป็นบวก ที่ผิดพลาดได้เช่นกันค่ะ
2. การทดสอบการตั้งครรภ์ด้วยการตรวจเลือด
สามารถทดสอบการตั้งครรภ์ได้ตั้งแต่ 6-8 วันหลังจากที่มีการปฏิสนธิ เป็นวิธีการที่รวดเร็วและให้ผลที่แม่นยำมาก แม้จะมีปริมาณ HCG ต่ำก็ตาม และยังสามารถบอกกำหนดวันคลอดได้โดยการเทียบกับค่ามาตรฐานในเลือด แต่การทดสอบด้วยเลือดไม่เป็นที่นิยมใช้ในการวินิจฉัยการตั้งครรภ์ เพราะการตรวจปัสสาวะสามารถใช้ได้ผลที่เท่ากันและสะดวกกว่า การตรวจเลือดจะใช้ในกรณีที่ต้องการวัดระดับฮอร์โมนที่ละเอียดเพิ่มขึ้นในการวินิจฉัยภาวะผิดปกติของการตั้งครรภ์มากกว่า
จาก : แม่รักลูก Photo Credit :todayifoundout.com