คุณแม่บางคนที่เคยมีผิวเรียบเนียนเปล่งปลั่ง แต่เมื่อท้องแล้วสิวขึ้น จนทำให้หลายคน หมดความมั่นใจ ซึ่งสาเหตุนั้น เกิดจากอะไรได้บ้าง วันนี้เราจะมาไขปัญหานี้กัน พร้อมวิธีการรักษาสิวที่เหมาะสมในระหว่างตั้งครรภ์ ซึ่งต้องคำนึงถึงความปลอดภัยอย่างที่สุด
ท้องแล้วสิวขึ้น เกิดจากอะไร
สาเหตุหลักที่ทำให้ท้องแล้วสิวขึ้น คือฮอร์โมนที่เปลี่ยนแปลงในขณะตั้งครรภ์ โดยเฉพาะ ฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนที่สูงขึ้น ส่งผลให้ต่อมน้ำมันผลิตน้ำมันออกมามากขึ้น ทำให้เกิดสิวอักเสบและสิวอุดตัน นอกจากนี้ยังมีสาเหตุอื่นๆ เช่นการหยุดยารักษาสิวในช่วงตั้งครรภ์ ระบบภูมิคุ้มกันลดลงในช่วงตั้งครรภ์ ทำให้สิวขึ้นได้ง่าย รวมทั้งความเครียดก็เป็นสาเหตุให้เกิดสิวได้เช่นกัน
ใช้ยารักษาสิวได้ไหม
คุณแม่ท้องแล้วสิวขึ้น ต่างสงสัยว่าสามารถใช้ยารักษาสิวได้ไหม คำตอบคือ เนื่องจากยารักษาสิวบางตัวนั้น ส่งผลต่อทารกในครรภ์ อาจทำให้เด็กเกิดมาพิการหรือเกิดภาวะแทรกซ้อนอื่นๆได้ ดังนั้นถ้าจำเป็นต้องใช้ยาจริงๆ ควรอยู่ในการดูแลของแพทย์ ซึ่งสมาคมเวชสำอาง และศัลยศาสตร์ผิวพรรณ ได้ให้คำแนะนำเกี่ยวกับการใช้กลุ่มยารักษาสิวที่ปลอดภัยกับคุณท้อง และกลุ่มยารักษาสิวที่คนท้องห้ามใจ ไว้ดังต่อไปนี้
1.ยาที่ใช้ได้ในคนท้อง
เมื่อคุณแม่ท้องแล้วสิวขึ้น ก็ต้องเลือกใช้ยาที่ปลอดภัยสำหรับคนท้องและทารกในครรภ์ โดยยาทาที่แพทย์แนะนำ ได้แก่ยาแต้มสิว Benzoyl peroxide และ Erythromycin ส่วนยากินนั้น เป็นยาOral erythromycin ขนาด 0.5 กรัม ซึ่งแพทย์แนะนำว่าเป็นยาที่ปลอดภัยที่สุด แต่สำหรับคุณแม่ที่ตั้งครรภ์แล้วมีสิวอักเสบขึ้นอย่างรุนแรง สามารถใช้ยา Oral steroidsได้ แต่มีข้อจำกัดว่าควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ และควรใช้เมื่อมีอายุครรภ์ตั้งแต่ 3 เดือนขึ้น โดยใช้ยาเท่าที่จำเป็นจริงๆ
2.ยาที่ห้ามคนท้องใช้
ส่วนยาที่ห้ามคนท้องแล้วสิวขึ้นใช้นั้น มีเหตุผลที่สำคัญคือ ยาบางตัวอาจส่งผลต่อตัวอ่อนที่กำลังเติบโต ทำให้ทารกมีความผิดปกติ เช่น ยาทาแต้มสิว Topical retinoids หรือยากิน Oral isotretinoin ซึ่งยากินตัวนี้มีผลค่อนข้างรุนแรง อาจทำให้เด็กพิการได้ โดยคนที่กินยาตัวนี้อยู่ต้องคุมกำเนิดด้วย และยังต้องคุมกำเนิดต่อไปอีก 1 เดือนหลังจากหยุดยาตัวนี้ เพื่อไม่ให้เกิดความผิดปกติกับลูกน้อยในครรภ์ตามมา นอกจากนี้ยังมียากินอื่นๆที่เป็นยาต้องห้ามในคนท้อง เช่น Oral tetracycline และ Trimethoprim เป็นต้น
วิธีรักษาสิวที่ดีที่สุดขณะตั้งครรภ์
นอกจากการใช้ยารักษาสิวเมื่อท้องแล้วสิวขึ้นแล้ว ยังมีวิธีรักษาสิวอื่นๆอีกดังต่อไปนี้
1. เลี่ยงอาหารบางประเภท
อาหารบางชนิดมีผลต่อการเกิดสิว เช่นของหวานที่ทำให้น้ำตาลในเลือดสูง จึงทำให้เป็นสิวง่าย รวมทั้งแป้งขัดขาว เพราะฉะนั้นในช่วงที่สิวขึ้น คุณแม่ควรต้องหลีกเลี่ยงของหวาน และแป้งสาลี โดยหันไปกินอาหารประเภทธัญพืชที่ไม่ขัดสี ผัก ถั่ว ปลา และผลไม้บางชนิดที่มีรสชาติหวานน้อย
- อย่าทำความสะอาดหน้าบ่อยๆ
คุณแม่ไม่ควรล้างหน้าบ่อยๆ เพราะเมื่อความชุ่มชื้นของผิวหน้าถูกกำจัดออกไป จะทำให้ต่อมไขมันต้องผลิตน้ำมันเพิ่มขึ้น จึงทำให้เกิดสิวมากขึ้น
- เลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ที่ออกฤทธิ์รุนแรง
ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวหน้าสำหรับคุณแม่ท้องแล้วสิวขึ้นนั้น มักทำให้ผิวแห้งมากขึ้น เพราะดึงมอยส์เจอไรเซอร์ และความมันออกจากผิว จึงทำให้ผิวเกิดความระคายเคือง และสิวอักเสบมากขึ้นอีก
- อย่าบีบสิว
คุณแม่หลายคนชอบบีบสิวจนติดเป็นนิสัยเพราะทำมาตั้งแต่ก่อนตั้งครรภ์ แต่รู้ไหมว่า ยิ่งคุณแม่บีบสิว ก็ยิ่งส่งผลต่อการอักเสบของสิว ทำให้เกิดแผลเป็น ซึ่งแผลกว่าจะหายก็ต้องใช้เวลานาน ดังนั้นควรหยุดพฤิตกรรมการบีบสิวนี้เสีย
- สครับผิวเบาๆ
การเกิดสิวในขณะตั้งครรภ์ มักมีสาเหตุมาจากการอุดตันของน้ำมันบนใบหน้า ดังนั้นคุณแม่อาจสครับผิวเบาๆด้วยเม็ดบีดส์อ่อนๆเพื่อขจัดน้ำมันส่วนเกินออกไปบ้าง ซึ่งก็จะช่วยลดโอกาสการเกิดสิวอุดตันและสิวอักเสบได้ แต่มีข้อยกเว้นว่าไม่ควรสครับที่บริเวณที่เป็นสิว เพราะจะยิ่งทำให้สิวอักเสบได้
- เติมวิตามินให้กับผิว
การที่สิวขึ้นได้ง่ายๆ อาจเกิดจากการร่างกายขาดวิตามินและแร่ธาตุบางตัว เช่นถ้าร่างกายมีธาตุสังกะสีต่ำ ก็จะทำให้เป็นสิวได้ง่าย ดังนั้นจึงควรกินอาหารประเภทเนื้อแดง หอย เมล็ดฟักทองเป็นต้น นอกจากนี้การกินอาหารที่มีวิตามินเอ ซี อี ยังช่วยบำรุงผิวพรรณ ปรับระบบเลือด เสริมสร้างคอลลาเจนแก่ผิวทำให้ผิวมีสุขภาพดี โดยคุณแม่สามารถเลือกเติมวิตามินเหล่านี้ให้ผิวเพื่อปกป้องสิว ได้จากการกินอาหารต่างๆเช่นผักใบเขียว กะหล่ำปลี สตรอเบอรี่ ไข่ขาว แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นการกินวิตามินเสริมในช่วงตั้งครรภ์ ควรอยู่ภายใต้การควบคุมของแพทย์อีกที
- นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ
การเป็นสิว อาจมีผลมาจากการพักผ่อนน้อย เพราะฮอร์โมนบางตัวถูกผลิตขึ้นในเวลากลางคืน แต่การพักผ่อนไม่เพียงพอ ทำให้ร่างกายขาดความสมดุล และเกิดสิวได้ ดังนั้นคุณแม่ควรหาเวลาพักผ่อนให้เพียงพอในแต่ละวัน
สำหรับคุณแม่ที่ท้องแล้วสิวขึ้น เมื่อทำทุกทางแล้ว แต่สิวกลับอักเสบมากขึ้น จนเกิดความกังวล ขอแนะนำว่าควรไปพบแพทย์ผิวหนัง และไม่แนะนำให้ซื้อผลิตภัณฑ์หรือยาใดๆมารักษาสิวเอง เพราะอาจได้รับถึงผลข้างเคียงจากการใช้ยานั้นๆอย่างไม่ถูกวิธี
เรื่องอื่นๆที่เราแนะนำสำหรับคุณ