fbpx
Homeการตั้งครรภ์ท้องลม จําเป็นต้องขูดมดลูกไหม? ดูแลตัวเองอย่างไรหลังจากท้องลม 

ท้องลม จําเป็นต้องขูดมดลูกไหม? ดูแลตัวเองอย่างไรหลังจากท้องลม 

ท้องลม คำนี้หลายคนคงจะรู้จักและคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี เพราะคุณพ่อ คุณแม่ที่เริ่มเตรียมความพร้อมสำหรับการตั้งครรภ์จะพบกับคำนี้ แต่ก็มีหลายคนที่ยังไม่รู้ว่าคืออะไร อันตรายต่อสุขภาพหรือไม่ และเมื่อมีการท้องลมเกิดขึ้นคุณแม่หลาย ๆ คนก็มักจะสับสน และปฏิบัติตัวไม่ถูกไม่ทราบว่าต้องทำอย่างไร และไม่รู้ว่า ท้องลม จําเป็นต้องขูดมดลูกไหม วันนี้เราเลยได้มีการรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องนี้มาฝาก พร้อมกับวิธีดูแลตัวเองหลังจากท้องลม จะเป็นอย่างไรนั้นไปดูกันเลยดีกว่า

ท้องลม จําเป็นต้องขูดมดลูกไหม เรามีคำตอบ

ท้องลม หรือ blighted ovum คือ สภาวะที่เกิดจากการตั้งครรภ์ที่ไม่สมบูรณ์ ทำให้ทารกในครรภ์หยุดเจริญเติบโต หรือเสียชีวิตแล้วนั่นเอง แต่ในส่วนของร่างกายคุณแม่ยังคงมีสภาพของคนท้อง ไม่ว่าจะเป็นการมีถุงน้ำคร่ำอยู่ ทำให้บริเวณหน้าท้องของคุณแม่ยังคงนูนเหมือนลักษณะของคุณแม่ตั้งครรภ์ นอกจากนี้ฮอร์โมนในร่างกายระหว่างที่ท้องลมก็ยังคงเหมือนคนท้องปกติ เช่น อาการแพ้จากการตั้งครรภ์ การขยายของฐานนม และหัวนม การขยายของสะโพก คุณแม่ที่เกิดอาการท้องลมโดยส่วนมากจะไม่สามารถทราบได้ เนื่องจากอาการท้องลมนั้นเหมือนกับคุณแม่ตั้งครรภ์โดยปกติทุกอย่าง ท้องลมมักเกิดกับคุณแม่ที่อายุครรภ์ไม่เกิน 3 เดือน จึงทำให้สังเกตได้ยาก จะทราบได้เมื่อไปตรวจกับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญอย่างละเอียด หรืออาจทำการอัลตร้าซาวน์ ส่วนท้องลม จําเป็นต้องขูดมดลูกไหม คำตอบก็คือ อาจะต้องดูเป็นกรณีไป ว่าเป็นการท้องลมในลักษณะไหน บางคนอาจต้องขูดมดลูก หรือบางคนก็ไม่ต้องขูดก็ได้ อาจจะขึ้นอยู่กับการวินิจฉัยของแพทย์ แต่หากใครที่กังวลเรื่องของสุขภาพก็อาจจะตัดสินใจขูดมดลูก แต่หากแพทย์วินิจฉัยแล้วว่าไม่ขูดก็ได้ คุณแม่อาจจะไม่ขูดมดลูกก็ได้

รู้ได้อย่างไรว่ากำลังท้องลม

ก็ได้ทราบไปแล้วว่าท้องลม จําเป็นต้องขูดมดลูกไหม  ต่อมาคือแล้วเราจะทราบได้อย่างไรว่ากำลังท้องลม ซึ่งเราจะสามารถทราบได้ว่ามท้องลมเมื่อมีการ ตรวจอัลตราซาวด์พบถุงการตั้งครรภ์ขนาดใหญ่กว่า 2.5 ซม. จากการอัลตราซาวด์ทางหน้าท้อง หรือ ใหญ่กว่า 1.7 ซม. จากการอัลตราซาวด์ทางช่องคลอด แต่ยังไม่พบตัวอ่อน หากเป็นการตรวจอัลตราซาวด์พบถุงการตั้งครรภ์ขนาดใหญ่กว่า 2 ซม. จากการอัลตราซาวด์ทางหน้าท้อง หรือ ใหญ่กว่า 1.3 ซม. จากการอัลตราซาวด์ทางช่องคลอด แต่ยังไม่พบถุงอาหารของทารกในครรภ์ รวมไปถึงพบว่าจากการอัลตราซาวด์มีถุงการตั้งครรภ์ที่มีลักษณะบิดเบี้ยว มีรูปร่างผิดปกติอย่างชัดเจน ซึ่งแน่นอนเมื่อมีการอัลตราซาวด์แล้วพบว่าคุณแม่กำลังอยู่ในภาวะท้องลมแพทย์จะให้คำแนะนำ พร้อมกับให้การดูแลอย่างถูกวิธี หลังจากนั้นก็อาจจะมีการขูดมดลูกหรือไม่ขูดก็สามารถทำได้

การดูแลตัวเองหลังจากท้องลม

หลังจากที่เราได้ทราบกันไปแล้วว่าท้องลม จําเป็นต้องขูดมดลูกไหม ทีนี้เรามาดูการดูแลตัวเองหลังจากที่ท้องลมกันบ้างว่าทำได้อย่างไร

  • เกิดเป็นคำถามว่าท้องลม จําเป็นต้องขูดมดลูกไหม การขูดมดลูก เป็นวิธีที่นิยมทำกันในอดีต โดยวิธีนี้นั้นสามารถทำได้อย่างรวดเร็วในทุกอายุครรภ์ หมดกังวลเรื่องการแท้งที่ไม่สมบูรณ์ได้ แต่ระหว่างขูดมดลูกคุณแม่มักจะเสียเลือดมากทำให้ต้องใช้เวลาฟื้นตัวนานกว่าปกติ นี่จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้คุณแม่เกิดคำถามว่าท้องลม จําเป็นต้องขูดมดลูกไหม
  • ดูแลตนเองด้วยการใช้ยาเหน็บจัดเป็นการเร่งการแท้งนั่นเอง สำหรับวิธีนี้จะใช้ระยะเวลาค่อนข้างนานพอสมควร รวมถึงมีความเสี่ยงที่จะเกิดการแท้งที่ไม่สมบูรณ์ เพราะอาจมีเศษชิ้นส่วนจากการตั้งครรภ์ค้างอยู่ในครรภ์ของคุณแม่ได้ อาทิเช่น เศษรก
  • ดูแลตนเองโดยการใช้วิธีตามธรรมชาติ หรือ การรอให้เกิดการแท้งตามธรรมชาตินั่นเอง สำหรับวิธีนี้จะเกิดขึ้นเองหลังจากที่ทารกเสียชีวิตแล้วภายในระยะเวลา 2 สัปดาห์ ซึ่งคุณแม่จะสามารถฟื้นตัวได้เร็วกว่าวิธีอื่น ๆ และเป็นวิธีที่นิยมทำกันเป็นอย่างมากในคุณแม่ที่เกิดภาวะท้องลม

หลังท้องลมจะปล่อยตั้งครรภ์ได้อีกเมื่อไหร่

ท้องลม จําเป็นต้องขูดมดลูกไหมหากคุณคิดว่าต้องการที่จะมีการตั้งครรภ์ในอนาคตแพทย์อาจจะทำการขูดมดลูกให้กับคุณ หรือหากวินิจฉัยว่าควรขูดมดลูกแพทย์ก็จะทำการขูดมดลูก และหลังจากนั้นคุณแม่จะ สามารถตั้งครรภ์ในรอบถัดไปที่ไข่มีการปฏิสนธิได้เลย แต่เพื่อความปลอดภัย และการฟื้นตัวที่สมบูรณ์ของร่างกาย คุณแม่ควรงดเว้นการตั้งครรภ์หลังจากรักษาท้องลมแล้วเป็นเวลา 3 เดือน จึงค่อยเริ่มปล่อยให้ตั้งครรภ์ใหม่อีกครั้ง เพื่อให้การตั้งครรภ์เป็นไปอย่างสมบูรณ์นั่นเอง

อาการท้องลมสามารถเกิดขึ้นได้กับคุณแม่ตั้งครรภ์ แต่จําเป็นต้องขูดมดลูกไหมอาจจะขูดหรือไม่ก็ได้ ตามวินิจฉัยของแพทย์ อย่างไรก็ตามคุณแม่ตั้งครรภ์คนไหนที่เกิดท้องลมหากต้องการที่จะตั้งครรภ์อีกครั้ง ควรดูแลสุขภาพให้ดีก่อนหลังจากที่เกิดท้องลม เพื่อจะได้ไม่เสี่ยงต่อการเกิดอันตรายในการตั้งครรภ์อีกนั่นเอง และควรดูแลสุขภาพให้ดีอยู่เสมอ เพื่ออนาคตที่ดีของตัวคุณแม่เองและเพื่อทารกที่มีสุขภาพแข็งแรงมากที่สุดอีกด้วย

เรื่องอื่นๆที่เราแนะนำสำหรับคุณ

 
RELATED ARTICLES
- Advertisment -

Most Popular