fbpx
Homeการตั้งครรภ์Fetal Distress ภาวะผิดปกติจากความเครียด ที่แม่ตั้งครรภ์ต้องระวัง       

Fetal Distress ภาวะผิดปกติจากความเครียด ที่แม่ตั้งครรภ์ต้องระวัง       

เชื่อว่าช่วงเวลาที่กำลังตั้งครรภ์เป็นช่วงที่คุณแม่หลายคนเครียดมากที่สุด เนื่องจากเป็นช่วงเวลาที่มีปัจจัยหลายอย่างส่งผลให้เกิดความกังวลใจ และเราก็เชื่อว่าคุณแม่คงทราบกันดีอยู่แล้วว่าระหว่างตั้งท้องหากเครียดมากจนเกินไปอาจส่งผลให้เกิดภาวะFetal Distress ได้ ซึ่งก็ทราบกันดีอยู่แล้วว่า ภาวะFetal Distress เป็นอันตรายต่อทารกอย่างมาก วันนี้เราเลยจะพาคุณแม่ไปทำความเข้าใจเกี่ยวกับ ภาวะ Fetal Distress เพิ่มมากขึ้นว่า คืออะไร และควรระวังอย่างไร

คุณแม่รู้ไหม เครียดบ่อย อาจเกิดภาวะ Fetal Distress

ระหว่างที่คุณแม่กำลังตั้งครรภ์อยู่นั้น มักจะมีเรื่องให้ต้องเครียดมากมาย โดยเฉพาะเรื่องของสุขภาพลูกน้อยภายในครรภ์ว่าจะแข็งแรงสมบูรณ์หรือไม่ เมื่อคลอดออกมาแล้วจะแข็งแรงมากน้อยเพียงใด เป็นความเครียดที่คุณแม่หลายคนไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ แต่คุณแม่ต้องทราบว่าการที่คุณแม่เครียดบ่อย ๆ มีผลต่อลูกน้อยในครรภ์อย่างแน่นอน ซึ่งเราเรียกว่าFetal Distress เป็นภาวะความเสี่ยงที่เป็นอันตรายต่อตัวลูกน้อยเองไม่น้อยเลยทีเดียว หากหลีกเลี่ยงความเครียดต่าง ๆ ได้เราอยากให้คุณไม่เครียดมากกว่า นอกจากนี้ก็ยังมีผลต่อภาวะอันตรายอื่น ๆ อีกด้วย

Fetal Distressคืออะไร

Fetal Distressคือ ทารกในครรภ์กำลังอยู่ในภาวะเครียดโดยจะแสดงสัญญาณต่าง ๆ ออกมา อย่างไรก็ตามมีหลายสาเหตุที่ทำให้ทารกเกิดภาวะนี้ได้เช่นกัน อาทิ ระยะเวลาก่อนถึงกำหนดคลอด , ปฏิกิริยาต่อยา , ปัญหาเกี่ยวกับสายสะดือหรือรก ซึ่งถือเป็นภาวะที่แพทย์ไม่มั่นใจในความปลอดภัยของทารกในครรภ์ หากคุณแม่ไม่ได้รับการทำคลอดโดยเร็วทารกอาจจะเกิดอันตราย และทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ ต่อคุณแม่และทารกได้ ซึ่งผลกระทบระยะยาวของภาวะFetal Distress คือ การขาดออกซิเจนเป็นเวลานาน ส่งผลให้สมองของทารกได้รับการกระทบกระเทือน สมองพิการ และอาจร้ายแรงถึงขั้นเสียชีวิตขณะคลอดได้

ภาวะFetal Distress ส่งผลอย่างไร

เมื่อไหร่ก็ตามที่คุณแม่เกิดอาการFetal Distress มักจะมีผลกระทบต่อทารกในครรภ์ทันทีโดยผลกระทบที่เกิดขึ้นคือ อาจทำให้ทารกในครรภ์เกิดกรดในเลือดของทารก เรียกว่า ภาวะความเป็นกรด ซึ่งอาจส่งผลต่ออวัยวะและระบบต่าง ๆ อีกด้วย และอาจจะส่งผลทำให้การเคลื่อนไหวของทารกในครรภ์ลดลง ซึ่งบ่งชี้ว่าทารกกำลังอยู่ในภาวะที่เป็นอันตราย และอาจส่งผลให้ปริมาณออกซิเจนไปยังสมองของทารกลดลงได้ด้วย อีกทั้งยังอาจนำไปสู่ความเสียหายของสมองหรือปัญหาพัฒนาการได้ด้วยเช่นกัน ทั้งนี้ความเสี่ยงต่าง ๆ อาจต้องดูจากสุขภาพของคุณแม่ประกอบไปด้วย

สัญญาณเตือนFetal Distress

สำหรับคุณแม่ที่กำลังกังวลว่าตนเองกำลังอยู่ใน ภาวะFetal Distress หรือไม่ สามารถสังเกตได้ด้วยตนเองได้ไม่ยากหรือหากคุณแม่ท่านใดที่กังวลว่าเครียดมากเกินไป หรือสงสัยว่าลูกของเราจะมีภาวะที่น่าเป็นห่วงนี้หรือไม่ มักจะส่งผลดังต่อไปนี้

  • จะมีการเปลี่ยนแปลงของอัตราการเต้นหัวใจของทารกในครรภ์ ซึ่งเป็นอัตราที่ต่ำกว่าหรือสูงกว่าปกตินั่นเอง
  • คุณแม่ที่อยู่ในอาการFetal Distress ส่งผลทำให้ทารกในครรภ์เคลื่อนไหวน้อยลงเป็นระยะเวลานาน ซึ่งเป็นอาการที่น่าตกใจ และน่ากลัวเพราะมีผลต่อตัวของทารกโดยตรง
  • คุณแม่มีภาวะน้ำคร่ำต่ำ ซึ่งก็เป็นสัญญาณที่อัตรายไม่น้อยเลยทีเดียว

วิธีการรักษาภาวะFetal Distress

หากเกิดอาการFetal Distress แล้วสิ่งสำคัญก็คือ จำเป็นต้องคลอดเด็กออกมาให้เร็วที่สุด และคุณหมอและผู้เชี่ยวชาญจะทำการช่วยเหลือควบคู่กับการรักษา ดังนี้

  • เปลี่ยนท่าทางและตำแหน่งของคุณแม่ โดยการขยับร่างกายของคุณแม่นั้นอาจช่วยเพิ่มการไหลเวียนของเลือดกลับสู่หัวใจและช่วยให้ออกซิเจนแก่ทารกในครรภ์เพิ่มขึ้นได้
  • การสวมหน้ากากออกซิเจนจะช่วยให้ลดความเสี่ยงได้
  • แพทย์อาจให้ของเหลวผ่านทางสาย IV เพื่อเป็นการรักษาอาการFetal Distress ให้กลับมาเป็นปกติ
  • รักษาด้วยการให้ยาเพื่อชะลอหรือหยุดการหดตัวของกล้ามเนื้อคุณแม่และสายสะดือ
  • การเติมน้ำคร่ำด้วยวิธีการใส่ของเหลวในถุงน้ำคร่ำ จะช่วยลดการบีบตัวของสายสะดือได้

ป้องกันภาวะFetal Distress ในคนท้องได้อย่างไร

โดยปกติแล้วไม่มีวิธีการป้องกันภาวะความเครียด Fetal Distressของทารกในครรภ์ได้เลย เนื่องจากเป็นเหตุสุดวิสัยที่ไม่อาจคาดคิดได้ และเหมือนจะเป็นเรื่องปกติที่ความเครียดจะเกิดขึ้นกับคุณแม่ทุกคน แต่อย่างไรก็ตามเราสามารถลดความเสี่ยงไม่ให้เกิดภาวะเครียดได้ด้วยการพบแพทย์ตามนัดหมายอย่างสม่ำเสมอ การดูแลสุขภาพครรภ์ให้แข็งแรง เลือกทานอาหารที่มีประโยชน์ จะสามารถช่วยลดความเสี่ยงของภาวะที่นำไปสู่ภาวะ Fetal Distressได้ นอกจากนี้คุณแม่ตั้งครรภ์ควรหมั่นสังเกตอาการของตัวเองและความผิดปกติในครรภ์ตลอดเวลา หากพบความผิดปกติให้รีบพบแพทย์ทันที

จากข้อมูลที่เราได้กล่าวไปข้างต้นนั้นพบว่าเป็นภาวะที่อันตรายไม่น้อยเลยทีเดียว เพราะฉะนั้นหากเมื่อไหร่ก็ตามที่คุณพบว่ามีความผิดปกติเช่น ทารกไม่ดิ้น ท้องแข็ง ให้คุณแม่รีบพบแพทย์ทันที ไม่ควรปล่อยไว้เป็นเวลานาน ๆ เพราะจะทำให้จากการเบากลายเป็นอาการหนักได้ และควรหมั่นดูแลตนเองบ่อย ๆ พบแพทย์อย่างสม่ำเสมอ ทานอาหารที่ดีและมีประโยชน์ ตลอดจนการพักผ่อนให้เพียงพอ เพื่อให้ทารกในครรภ์สุขภาพดีแข็งแรง รวมถึงตัวของคุณแม่เองด้วยเช่นกัน

เรื่องอื่นๆที่เราแนะนำสำหรับคุณ

RELATED ARTICLES
- Advertisment -

Most Popular