โรคไข้เลือดออก มียุงลายเป็นพาหะนำโรค โดยเฉพาะอย่างยิ่งบ้านเราเป็นเมืองร้อน จึงเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ชั้นดีของยุงหลากหลายชนิด รวมไปถึงยุงลายที่เป็นสาเหตุสำคัญทำให้คนติดเชื้อไข้เลือดออก ดังนั้นเรามาทำความเข้าใจเกี่ยวกับโรคนี้ รวมถึงวิธี สังเกตยังไงว่าลูกเป็นไข้เลือดออก และการดูแลอย่างถูกวิธีหากลูกเป็นไข้เลือดออกกันค่ะ
ทำความรู้จักกับโรคไข้เลือดออก (dengue virus)
ไข้เลือดออกเกิดจากการติดเชื้อไวรัสเดงกี ซึ่งมี 4 สายพันธุ์ คือ สายพันธ์ 1 2 3 และ 4 คนติดเชื้อโรคจากการถูกยุงลายที่มีเชื้อมากัด ยุงลายจะออกหากินในเวลากลางวัน ชอบวางไข่บริเวณที่มีน้ำนิ่ง เช่น แหล่งน้ำขังในภาชนะเก่า ๆ ที่ทิ้งไว้ในบริเวณบ้าน น้ำในบ่อ ถ้วยน้ำรองขาตู้กับข้าว กระถางต้นไม้ นำในแจกัน หรือยางรถยนต์เก่าที่มีน้ำขัง
อาการไข้เลือดออก
ในระยะแรกหากได้รับเชื้อไวรัส 1 ใน 4 สายพันธุ์ตามที่กล่าวมา มักจะไม่แสดงอาการ หรือมีอาการเพียงเล็กน้อยคล้ายไข้หวัด หลังจากหายแล้วร่างกายจะสร้างภูมิคุ้มกันเฉพาะสายพันธุ์ที่ป่วย แต่ไม่สามารถป้องกันสายพันธุ์อื่นได้ ดังนั้น หากมีมีการติดเชื้อในสายพันธุ์อื่นในครั้งต่อไปจะทำให้เกิดอาการป่วยที่รุนแรงขึ้น
สังเกตยังไงว่าลูกเป็นไข้เลือดออก
อาการของไข้เลือดออกแบ่งออกเป็น 3 ระยะ คือ ระยะมีไข้ ระยะไข้ลดหรือระยะวิกฤติ และระยะฟื้นตัว
1.ระยะมีไข้
อาการไข้มักจะเป็นไข้สูงลอย 39 – 40 องศาเซลเซียส รับประทานยาลดไข้ไม่ค่อยได้ผล คือ ไข้อาจจะลดลงเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เหลือประมาณ 38 – 38.5 องศาเซลเซียส ไม่ลงมาถึง 37 องศาเซลเซียส แต่ยังไม่ทันครบ 4 ชั่วโมง ไข้จะกลับมาสูงเช่นเดิม และเป็นไข้เช่นนี้อยู่ประมาณ 2 – 7วัน
จะมีอาการอื่น ๆ ร่วมด้วย ได้แก่ หน้าแดงจัด ปวดศีรษะ ปวดเมื่อร่างกาย ปวดกระดูก ปวดน่องและขา ปวดท้อง คลื่นไส้อาเจียน เบื่ออาหาร อาจมีอาการเจ็บคอ ไม่มีน้ำมูก ไอหากมีอาการรุนแรง อาจตรวจพบตับโต มีอาการทางสมอง เช่น ซึมหรือชัก มีจุดเลือดออกตามผิวหนัง เลือดกำเดาไหล
2.ระยะไข้ลดหรือระยะวิกฤติ
ในระยะนี้เป็นช่วงเวลาที่สำคัญ เพราะไข้เลือดออกที่รุนแรงจะมีปัญหาเลือดออกหรือช็อกได้ คุณหมอจะคอยตามดูอาการอย่างใกล้ชิดในระยะเวลา 24 -48 ชั่วโมง ลูกจะมีอาการกระสับกระส่าย ปัสสาวะออกน้อย ชีพจรเต้นเร็วและเบาอาจมีอาการหายใจหอบเหนื่อย เนื่องจากมีสารน้ำเหลืองรั่วเข้าสู่ช่องเยื่อหุ้มปอด ในรายที่ไม่รุนแรงจะไม่มีระยะนี้ให้เห็นอย่างเด่นชัด จะข้ามไประยะฟื้นตัวได้เลย
3.ระยะฟื้นตัว
ในระยะฟื้นตัว แต่ยังต้องเฝ้าดูอาการอย่างใกล้ชิด ในช่วงนี้สังเกตได้ว่า ลูกจะเริ่มรับประทานอาหารได้มากขึ้น ชีพจรเต้นช้าและแรงขึ้น ปัสสาวะออกมามากขึ้น มีผื่นแดงขึ้นตามขาและเท้า และมีอาการคัน สำหรับรายที่มีปัญหาช็อก เมื่อผ่านช่วงวิกฤติแล้ว ช่วงนี้คุณหมอจะสังเกตดูอาการเพื่อไม่ให้มีภาวะน้ำเกินในระบบไหลเวียนโลหิต เพราะภาวะน้ำเกินในร่างกายอาจส่งผลให้ลูกช็อกเพราะหัวใจทำงานหนักซึ่งเป็นอันตรายได้
การรักษาโรคไข้เลือดออก
1.ยังไม่มียาปฏิชีวนะทำลายเชื้อไวรัสไข้เลือดออกได้
2.ผู้ป่วยส่วนใหญ่มักไม่มีอาการรุนแรง หมายถึง ผู้ป่วยที่ไม่มีอาการทางสมอง เช่น ซึม ไม่มีเลือดออก ไม่ช็อก สามารถดูแลที่บ้านและให้นอนพักผ่อนมาก ๆ สำหรับเด็ก ๆ ไม่ให้วิ่งเล่นซนหรือออกแรงมาก หลีกเลี่ยงการกระทบกระแทกแรง ๆ ไม่แคะแกะจมูก หรือแปรงฟันแรง ๆ เพราะจะทำให้เลือดออกได้ง่าย
3.ส่วนใหญ่แล้วไข้เลือดออกคุณหมอจะรักษาตามอาการ เช่น ให้ยาลดไข้ ให้ยาพาราเซตามอล หรือเช็ดตัวเพื่อลดไข้เท่านั้น ไม่ให้แอสไพรินหรือไอบูโปรเฟน เพราะจะยิ่งทำให้เลือดออกมากขึ้น และให้ยาแก้อาการเจียนสำหรับผู้ป่วยที่มีอาการอาเจียนด้วย
4.ดูแลให้รับประทานอาหารอ่อน ๆ ย่อยง่าย ให้รับประทานครั้งละน้อยๆ แต่ให้บ่อยครั้งขึ้น และไม่ควรให้ทานอาหารที่มีสีออกแดงเพราะจะทำให้สับสนได้หากเกิดอาเจียน
5.ให้ดื่มน้ำเกลือแร่หรือจิบน้ำหวานบ่อย ๆ เพื่อให้มีพลังงานเพียงพอ ในกรณีที่เป็นเด็กมักจะต้องนอนพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลเพื่อให้น้ำเกลือทางเส้นเลือดหรืออาจต้องให้เลือดทดแทน
การป้องกันลูกจากโรคไข้เลือดออก
- กำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลายไม่ให้มีน้ำขังอยู่ในบริเวณบ้าน เลี้ยงปลาที่กินลูกน้ำในบ่อน้ำ เป็นต้น
- ใส่เกลือหรือน้ำส้มสายชู หรือทรายอะเบทในน้ำที่ขังอยู่ ตามแจกัน ขาตู้กับข้าวเพื่อป้องกันไม่ให้ยุงมาวางไข่
- จัดห้องให้โล่ง โปร่ง ไม่มีกองสัมภาระรกรุงรัง จะได้ไม่เป็นที่แอบซ่อนของยุงในช่วงเวลากลางวัน
อย่างไรก็ตาม หากคุณพ่อคุณแม่สงสัยว่าลูกป่วยเป็นไข้เลือดออก ไม่ควรนิ่งนอนใจนะคะ ต้องรีบพาไปพบคุณหมอเพื่อตรวจอาการให้แน่ชัดเพื่อความปลอดภัยค่ะ
เรื่องอื่นๆ ที่เราแนะนำสำหรับคุณ