เด็กที่หูตึงมาแต่กำเนิด ส่วนมากจะสูญเสียการได้ยินในระดับรุนแรง คือต้องใช้เสียงดังมากหรือตะโกนจึงจะได้ยิน แต่ถึงจะได้ยินก็จะได้ยินไม่ชัด ในเด็กทารกนั้นจะไม่มีปฏิกริยาต่อเสียงรอบๆตัว เมื่อโตขึนก็จะสังเกตุพบว่า เด็กมักไม่ค่อยตอบคำถามในทันที มักจ้องมองที่ปากคุณแม่ บางคนก็ชอบเอามือป้องหูหรือครอบหูไว้ เมื่อมีคนพูดด้วย ก็ชอบเอนศีรษะและขยับตัวเข้ามาใกล้มาก เพือให้ได้ยินเสียง บางรายที่เป็นมากอาจมีอาการทรงตัวผิดปกติ
จะทราบได้อย่างไรว่าลูกมี อาการหูตึงมาแต่กำเนิด หรือไม่
คุณพ่อคุณแม่สามารถสังเกตอาการเริ่มต้นของลูกได้ เช่น เมื่อลูกไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองต่อเสียง เวลาพูดด้วยแล้วไม่หันมองตามที่มาของเสียง การไม่เลียนเสียงพ่อแม่ มีปัญหาในการออกเสียง ออกเสียงไม่ได้ เป็นต้นค่ะ
แนวทางการป้องกันและรักษา อาการหูตึงมาแต่กำเนิด
- ผู้หญิงทุกคนควรฉีดวัคซีนป้องกันโรคหัดเยอรมัน เพื่อจะได้ไม่เป็นโรคนี้ขณะตั้งครรภ์ ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เด็กมีประสาทหูพิการแต่กำเนิด และเมื่อพบว่าตัวเองกำลังตั้งครรภ์ ควรเข้ารับการฝากครรภ์และไปตรวจตามแพทย์นัดทุกครั้ง
- คุณแม่ตั้งครรภ์ห้ามซื้อยากิน – ฉีด ใช้เองเป็นอันขาด การใช้ยาปฏิชีวนะควรจะอยู่ในการควบคุมดูแลของแพทย์เท่านั้น
- ในขณะตั้งครรภ์ ควรระมัดระวังในการใช้ชีวิต ระวังการเกิดอุบัติเหตุต่างๆ และหลีกเลี่ยงการฉายรังสีเอ็กซ์เรย์ต่างๆ
- เด็กควรได้รับวัคซีนพื้นฐานให้ครบตามกำหนดเวลา
- เมื่อพบว่าลูกอาจมีอาการหูตึงมาแต่กำเนิด ควรรีบพาไปพบแพทย์ เพื่อหาทางแก้ไขตั้งแต่ก่อนอายุ 1 ขวบ เพราะหากอายุเกิน 3 ขวบ การฟื้นฟูจะยากหรืออาจไม่ได้ผล แพทย์อาจแนะนำให้ใส่เครื่องช่วยฟังและพบนักแก้ไขการพูด เพื่อฝึกพูด การฝึกอย่างสม่ำเสมอจะทำให้เด็กสามารถพูดได้
ในบางครั้งเมื่อคุณพ่อคุณแม่พบว่าลูกอาจมีอาการหูตึงแต่กำเนิด จึงทำการฝึกพูดให้กับลูกด้วยตัวเอง ซึ่งอาจจะได้ผลไม่ดีเท่ากับการพาไปพบแพทย์ เนื่องจากการฝึกพูดให้กับเด็กที่มีอาการหูตึงมาแต่กำเนิดนั้นมีเทคนิคและขั้นตอนต่างๆโดยเฉพาะ จะส่งผลดีกับกับลูกมากว่า ลูกจะได้ไม่มีปัญหาด้านพัฒนาการทางภาษาในระดับต่อไป
Photo Credit : nsu.govt.nz
เรื่องอื่นๆที่เราแนะนำสำหรับคุณ